รูปแบบของเครือข่ายนั้นมีผลอย่างมากต่อสมรรถนะการทำงานของเครือข่าย การติดตั้งเครือข่าย PROFINET นั้นสามารถทำได้มากมายหลากหลายรูปแบบ แต่หลัก ๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบซึ่งแต่ละรูปแบบก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ได้แก่
1. Line Topology: เครือข่ายแบบนี้จะเริ่มจาก switch ต่อไปยังอุปกรณ์ตัวแรกและอุปกรณ์ต่อ ๆ ไปจะต่อเรียงอยู่บนเครือข่ายเดียวกันไปเรื่อย ๆ ข้อดีคือ ประหยัดค่าใช้จ่ายและออกแบบได้ง่าย แต่ข้อจำกัดก็คือ ถ้ามีอุปกรณ์ใดในเครือข่ายล่มจะทำให้อุปกรณ์ถัดจากอุปกรณ์นั้นล่มตาม ไม่สามารถแก้ปัญหาอุปกรณ์ที่อยู่กลางทางในขณะที่เครือข่ายยังทำงานอยู่ได้ นอกจากนี้อุปกรณ์ที่อยู่ปลายทางยังได้รับข้อมูลล่าช้าอีกด้วย
2. Star Topology: เป็นรูปแบบที่มีการใช้งานมากที่สุดโดยจะมี switch อยู่ตรงกลางและเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยตรง ข้อดีคือ ใส่อุปกรณ์เพิ่มและทะนุบำรุงได้ง่ายหากมีอุปกรณ์เพียงตัวเดียวบนแต่ละเครือข่ายที่ต่อออกมาจาก switch ข้อเสียคือ หาก switch เสียเครือข่ายจะล่มทั้งหมดและสิ้นเปลืองสายสัญญาณ
3. Tree Topology: เครือข่ายแบบนี้คือการต่อเครือข่ายแบบ star หลาย ๆ เครือข่ายเข้าด้วยกัน โดยแต่ละเครือข่ายจะเห็นเฉพาะข้อความของต้นเองผ่านการคัดกรองของ switch ต้นทาง ข้อดีคือ เห็นภาพเครือข่ายได้ชัดเจน ควบคุมการจราจรบนเครือข่ายได้ดีที่สุด และมีความปลอดภัยสูง ข้อเสียคือ ใช้สายสัญญาณมากและทุกสายสัญญาณสามารถทำให้เครือข่ายล่มได้ นอกจากนี้เนื่องจากมีช่องสัญญาณให้ใช้งานจำนวนมาก จึงอาจทำให้เกิดการสร้างเครือข่ายโดยไม่ได้รับการออกแบบที่ดี
4. Ring Topology: เครือข่ายลักษณะนี้จะมีการต่อเป็นวงกลมโดยจะมีอย่างน้อย 3 อุปกรณ์ในเครือข่าย โดยปกติแล้วจะใช้ไฟเบอร์ออพติคในการเชื่อมต่อ ข้อดีคือ มีคุณสมบัติ redundant ในตัวและสามารถทะนุบำรุงได้ง่าย ข้อเสียคือ อุปกรณ์ทุกตัวต้องรองรับ redundant และ switch มีค่าใช้จ่ายสูง
หวังว่าบทความนี้จะให้ความรู้ที่จำเป็นในการเลือกรูปแบบการติดตั้งเครือข่าย PROFINET หากผู้อ่านต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อทีมงาน Techsquare ได้ครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง
เครื่องมือพื้นฐานในการวิเคราะห์ปัญหาบนเครือข่าย PROFINET
การใช้งาน EtherTAP ร่วมกับ EtherMirror เพื่อตรวจสอบการทำงานของเครือข่าย Ethernet โดยเฉพาะ PROFINET